หน้าเว็บไซต์หลัก
หัวข้อ   “14 ตุลา ในมุมมองนิสิตนักศึกษายุคปัจจุบัน”
                  กรุงเทพโพลล์เผยผลสำรวจ พบนิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ทราบถึงความสำคัญของ
วันที่ 14 ตุลาคม แต่ยังคงเห็นว่านิสิตนักศึกษาควรมีบทบาทและมีส่วนร่วมทางการเมือง

                  ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุนิสา ประวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)  กล่าวว่า
วันที่  14  ตุลาคม  เป็นวันที่นิสิตนักศึกษาไทยเคยมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงอันนำมาซึ่งการเมืองการปกครอง
แบบประชาธิปไตยเช่นในปัจจุบัน  นิสิตนักศึกษาในยุคนั้นจึงเป็นทั้งผู้นำความคิดและเป็นความหวังของคนในชาติ  แต่
ปัจจุบันข่าวคราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับนิสิตนักศึกษาที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ  กลับทำให้หลายฝ่ายเกิดคำถามว่า  เราจะยังคง
ฝากอนาคตของประเทศชาติไว้กับนิสิตนักศึกษาซึ่งเป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้หรือไม่  ในโอกาสวันที่ 14 ตุลาคม ได้เวียน
มาถึง ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)  จึงได้ดำเนินการสำรวจข้อมูลความคิดเห็นของนิสิตนักศึกษา
ในประเด็นดังกล่าว   โดยเก็บข้อมูลจากนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ศึกษาอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน
ทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,003 คน เมื่อวันที่ 22 – 27 กันยายน 2552 สรุปผลได้ดังนี้
 
             1. การรับทราบถึงความสำคัญของวันที่ 14 ตุลาคม ของนิสิตนักศึกษาไทยในปัจจุบัน พบว่า

 
ร้อยละ
ทราบ
45.3
ไม่ทราบ
54.7
 
 
             2. การให้ความสำคัญกับวันที่ 14 ตุลาคม (เฉพาะผู้ที่ทราบถึงความสำคัญของวันดังกล่าว)

 
ร้อยละ
ให้ความสำคัญมากที่สุด
7.5
ให้ความสำคัญค่อนข้างมาก
26.9
ให้ความสำคัญปานกลาง
45.8
ให้ความสำคัญค่อนข้างน้อย
16.7
ไม่ให้ความสำคัญเลย
3.1
 
 
             3. เนื้อหาการพูดคุยในกลุ่มเพื่อนนิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่

 
ร้อยละ
เรื่องการเรียน
26.79
เรื่องกิน เที่ยว ช้อปปิ้ง บันเทิง แฟชั่น
22.14
เรื่องอาชีพการงานในอนาคต
17.18
เรื่องความรัก แฟน
13.27
เรื่องปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ
6.79
เรื่องการทำกิจกรรมเพื่อสังคม
6.30
เรื่องการเมือง
6.09
อื่นๆ อาทิ กีฬา เกม และชีวิตประจำวันทั่วไป ฯลฯ
1.44
 
 
             4. ความคิดเห็นต่อบทบาทการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษา

 
ร้อยละ
เห็นว่านิสิตนักศึกษาควรมีบทบาทหรือมีส่วนร่วม
( โดยให้เหตุผลว่า นิสิตนักศึกษามีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น
   ของตน เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนทางสังคม จะได้รู้ทันเหตุการณ์
   บ้านเมือง เป็นบทบาทหน้าที่ในฐานะพลเมืองของรัฐ เพื่อ
   สะท้อนมุมมองทางการเมืองจากคนรุ่นใหม่ ฯลฯ )
65.5
เห็นว่านิสิตนักศึกษาไม่ควรมีบทบาทหรือมีส่วนร่วม
( โดยในจำนวนนี้เห็นว่าควรเป็นหน้าที่ของ รัฐบาลและนักการเมือง
   ร้อยละ 28.7 เป็นของผู้ใหญ่ที่ทำงานแล้วร้อยละ 4.7 อื่นๆ
   อาทิ เป็นของผู้มีอำนาจโดยชอมธรรมร้อยละ 1.1 )
34.5
 
 
             5. การให้ความสนใจติดตามข่าวสารในด้านต่างๆ ที่เป็นพื้นฐานของการพัฒนาสังคมไทย

 
สนใจ
ไม่สนใจ
ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ภาวะโลกร้อน และมลพิษต่างๆ
90.9
9.1
ปัญหายาเสพติด และการใช้ความรุนแรงในสังคม
88.3
11.7
สภาวะเศรษฐกิจและปัญหาการว่างงาน
87.1
12.9
ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้
79.5
20.5
ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ด้อยโอกาสในสังคม
77.7
22.3
เรื่องราวความสำเร็จของเยาวชนไทยในการแข่งขันในเวทีโลก
77.5
22.5
ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
73.0
27.0
ศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก
71.5
28.5
ปัญหาการผลิตและส่งออกสินค้าการเกษตรของไทย
66.7
33.3
 
 
             6. การเข้าร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคม เช่น โครงการรณรงค์ต่างๆ การออกค่ายอาสา การช่วยเหลือ
                 ผู้ด้อยโอกาส ฯลฯ ในระหว่างที่เป็นนิสิตนักศึกษา พบว่า


 
ร้อยละ
เคยเข้าร่วม
เนื่องจาก
  - ต้องการหาประสบการณ์เพิ่มเติม ร้อยละ 23.3
  - ต้องการมีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติ ร้อยละ 20.9
  - เป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่มีคะแนน ร้อยละ 13.1
  - ต้องการมีเพื่อน มีสังคม ร้อยละ 10.1
  - ต้องการรางวัล ร้อยละ 2.0
  - อื่นๆ อาทิ อยากไปเที่ยว สนุกสนาน ชอบ ร้อยละ 1.2
70.6
ไม่เคยเข้าร่วม
เนื่องจาก
  - มีข้อจำกัดเรื่องเวลาและการเดินทาง ร้อยละ 8.6
  - มีภาระด้านการเรียนมากอยู่แล้ว ร้อยละ 7.2
  - ไม่ทราบข้อมูลรายละเอียด ร้อยละ 7.0
  - ไม่มีกิจกรรมที่น่าสนใจ และมองไม่เห็นประโยชน์ ร้อยละ 3.3
  - มีภาระค่าใช้จ่าย ร้อยละ 2.8
  - อื่นๆ อาทิ ไม่ว่าง ไม่ชอบทำกิจกรรม ร้อยละ 0.5
29.4
 
 
             7. เรื่องที่ทำให้นิสิตนักศึกษาภาคภูมิใจในตัวเองมากที่สุด คือ

 
ร้อยละ
การมีงานทำ มีรายได้เลี้ยงตัวเอง ไม่ต้องเป็นภาระของพ่อแม่
63.6
การได้ทำประโยชน์เพื่อสังคมส่วนรวม
20.8
การมีเงิน มีฐานะร่ำรวย
9.9
การเป็นคนดัง มีชื่อเสียง
3.5
อื่นๆ อาทิ เป็นคนดีของพ่อแม่ สามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ ไม่เป็นภาระของ
สังคม ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ฯลฯ
2.2
 
 
รายละเอียดในการสำรวจ
ระเบียบวิธีการสำรวจ:
                  การสำรวจใช้วิธีสุ่มตัวอย่างนิสิตนักศึกษาในระดับชั้นปีที่ 1 – ปีที่ 4 ที่ศึกษาอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาทั้งของ
รัฐและเอกชนทั่วประเทศด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) โดยในแต่ละภาคจะสุ่มจังหวัด
ขึ้นมาเป็นตัวแทน จากนั้นจึงสุ่มสถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดนั้นๆ ได้จำนวนสถาบันอุดมศึกษาทั้งสิ้น 28 แห่ง โดยเป็น
สถาบันของรัฐ 21 แห่ง และเอกชน 7 แห่ง ได้ตัวอย่างทั้งสิ้นจำนวน 1,003 คน
 
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error):
                  ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน  4% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
 
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล:
                  ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม
ที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และคำถามปลายเปิด (Open Form)
จากนั้นคณะนักวิจัยได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล: 22 - 27 กันยายน 2552
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 13 ตุลาคม 2552
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลประชากรศาสตร์
 
จำนวน
ร้อยละ
เพศ:    
             ชาย
510
50.8
             หญิง
493
49.2
รวม
1,003
100.0
การศึกษา:
 
 
             ปีที่ 1
272
27.2
             ปีที่ 2
242
24.1
             ปีที่ 3
244
24.3
             ปีที่ 4
245
24.4
รวม
1,003
100.0
ประเภทของสถาบัน:
 
 
             รัฐ
703
70.3
             เอกชน
300
29.7
รวม
1,003
100.0
 
Vote:  ดีมาก(5) ดี (4) ปานกลาง(3) พอใช้ (2) แย่ (1)  
 ผลคะแนนVote              
 
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)
Email: bangkokpoll@bu.ac.th      โทร. 0-2350-3500 ต่อ 1770-1776